ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ข้าวของราคาแพงแสนแพง จะใช้จะจ่ายอะไรก็คิดแล้วคิดอีก
ทีมงานได้รับเมล์จากคุณไกรแสง สินธุภิญโญ ที่ส่งเมนูจานเด็ด ทำง่าย ๆ ราคาไม่แพง ที่สำคัญ น่ารับประทานมากๆ เลยเก็บมาฝากกัน
เมนูที่ว่า คือเมนู "ไข่" ซึ่งมีหลากหลายเมนูที่น่ารับประทานมากๆ ลองไปดูกันครับ



Image ไข่เจียวกรอบ

ส่วนผสม
- ไข่ไก่ 1-2 ฟอง (วางไว้ที่อุณหภูมิห้องให้หายเย็น)
- แป้งโกกิผสมน้ำเล็กน้อย
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- น้ำปลาและน้ำตาลเล็กน้อยสำหรับปรุงรส
- น้ำมันสำหรับทอด (น้ำมันหมูอร่อยที่สุด แต่น้ำมันพืชก็ใช้ได้)

วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ชาม ตามด้วยแป้งโกกิที่ผสมน้ำไว้แล้ว ผงฟู และน้ำปลากับน้ำตาลสำหรับปรุงรส (ใครอยากใส่"ส่วนผสมเพิ่ม"ก็ตามสบาย) จากนั้นตีไข่กับส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนขึ้นฟอง
2. ในกะทะที่ตั้งน้ำมันรอไว้จนร้อนแล้ว (ใช้น้ำมันเยอะๆ ) ให้นำไข่ที่เจียวเตรียมไว้เทจากที่สูงๆ ลงไปทอด ให้เหลือง ฟู และกรอบทั้งสองด้าน แล้วนำเสริฟร้อนๆ ทานคู่กับซอสพริกเข้ากันดี
(ส่วนผสมเพิ่มก้ออาจจะเป็น หมูสับ ไก่สับ กุ้ง ปู แฮม แหนม หอย มาม่า ปลาป๋อง พริกสด หอมแดง ข้าวโพด ทูน่า ฯลฯ แล้วแต่รสนิยมเลยค่ะ)

Image ไข่เจียวฟู

1.ตีไข่ปรุงรสตามชอบ ใส่น้ำตาลนิดหน่อยเพราะน้ำตาลจะทำให้กรอบ
2.ใช้กระป๋องนมข้นเจาะให้เป็นรูๆ หรือใช้ทัพพีที่มีลีกษณะเป็นรูๆก็ได้
ใส่ไข่ในกระป๋องแล้วก็ให้ไข่ไหลออกมาเรื่อยๆ ใส่ลงกระทะน้ำมันเดือดไฟแรง
เมือสุกแล้วช้อนขึ้นมาพักไว้ พร้อมเสริฟ


Image ไข่เจียวใบตอง

เป็นการเจียวไข่โบราณ "โดยไม่ใช้น้ำมัน" ให้ใช้ใบตองเขียวๆ แบบ อ่อนๆ เพิ่งออกมาใหม่ๆ
ล้างหลายๆครั้งและตากให้แห้ง
วิธีทำ
1. ตีไข่ปรุงตามชอบใจ
2. นำกระทะตั้งไฟจนร้อน ไม่ต้องใส่น้ำมัน
3. แล้วนำใบตองมารองก้นกะทะ แล้วเทไข่ลงไป ทอดบนใบตอง

 

 

Image ไข่ป่าม

อาหารล้านนา ที่หารับประทานได้ยาก ไข่ป่าม มีลักษณะคล้ายไข่เจียว
ป่าม หรือ การทำให้อาหารสุกโดยนำอาหารใส่ในใบตองแล้วนำไปปิ้งหรือ
ย่างบนไฟอ่อน ๆ นอกจากไข่จะสุกแล้ว ยังมีกลิ่นหอมจากใบตองอีกด้วย

1. ตีไข่ ปรุงรสด้วยเกลือป่น
2. พับใบตองเป็นกระทง ใส่ไข่ที่ตีแล้วลงไป โรยด้วยต้นหอม ใบหอม 3
3. นำไปย่างไฟอ่อน ๆ จนไข่สุกเหลือง น่ารับประทาน

แล้วก้อมาถึงเมนูไข่เจียวนานาชาติ อร๊อยย อร่อย

Image ไข่เจียวต้มยำ >ประเดิมกันด้วยของไทยๆก่อนเลย

ส่วนผสม
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
- ตะไคร้ซอยแว่นบาง 1 ต้น
- พริกขี้หนูซอยหรือสับหยาบๆ 3-5 เม็ด
- น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำพริกเผา(ไม่เอาน้ำมัน) 1 ช้อนชา
- ใบมะกรูดหั่นฝอย 2 ใบ
- กุ้งสดสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ชามปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาวและเครื่องปรุงทั้งหมด ตีให้ขึ้นฟู
2. ทอดไข่ในกระทะน้ำมันร้อนจนสุกเหลือง
3. ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ


Image ไข่เจียวฝรั่งใส่เห็ดและชีส >อาหารเช้าฝาหรั่ง

เครื่องปรุง
- เห็ดนางฟ้า หรือเห็ดอะไรก็ได้ตามที่ชอบ 1 ขีด
- เนย Clarify 1/2 ถ้วยตวง
- หอมแดงสับ 1 ช้อนชา
- เนยแข็งขูด Cheddar ชีส 30 กรัม
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- นม 3-4 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ / พริกไทย พอประมาณ

วิธีทำ
1 นำกระทะตั้งไฟแล้วใส่เนย Clarify 2 ช้อนโต๊ะ
2 เมื่อกระทะร้อนนำเห็ดลงไปผัดกับหอมสับ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย แล้วตักออกพักไว้
3 นำกระทะ ตั้งไฟ แล้วนำเนย Clarify ใส่ลงไปให้ร้อนประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะเมื่อร้อนแล้วจึงนำไข่ไก่ที่ตีให้เข้ากันกับนม หรือครีมลงไปในกระทะ คนให้ข้น แล้วกระจายไข่ให้ทั่วกระทะ
4 ลดไฟอย่าให้ไข่ไหม้หรือเหลือง ตักเห็ดยัดแล้วโรยด้วย Cheddar ชีสขูด แล้วจึงค่อย ๆ เคาะ กระทะเพื่อม้วนไข่ให้เป็นห่อกลม ๆ เรียว ๆ ยาว ๆ เสิร์ฟร้อน ๆ

Image ไข่เจียวเสฉวน>เจียวไข่กันแบบจีนๆ


เครื่องปรุง
- ไข่ไก่ 6 ฟอง
- หมูสับ 50 กรัม
- ต้นหอมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุปไก่ 1 ถ้วย
- แป้งมัน 1/2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- หน่อไม้กระป๋องสับ 60 กรัม
- เห็ดหูหนูสับ 20 กรัม
- ผักกาดดองสับ 20 กรัม
- เกลือ 1 ช้อนชา
- แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันสำหรับทอด 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
1 นำไข่ไก่ 6 ฟองมาตีกับแป้งมัน และเกลือ
2 นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันให้ร้อนไม่ต้องมากนัก (ปานกลาง) เทไข่ลงไปแล้วลดไฟให้อ่อน ทอดไข่ข้างหนึ่ง 3 นาที เมื่อไข่ฟูเสมอกันกลับไข่ ทอดต่ออีกข้างให้เหลือง เมื่อเหลือและ กรอบนิดหน่อยตักออกแล้ว นำไปหั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่จานพักไว้
3 นำกระทะอีกใบตั้งไฟใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย เมื่อร้อนนำหมูสับลงไปผัดให้สุก แล้วจึงใส่น้ำซุปลงไป ต้มให้เดือด ใส่หน่อไม้ เห็ดหูหนู และผักกาดดองสับ ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทย เมื่อรสชาติเป็นที่พอใจแล้วทำให้ซอสข้นด้วยแป้งมันผสมน้ำ นำซอสนี้ไปราดบนไข่เจียว โรยหน้าด้วยหอมสับ เสิร์ฟร้อน ๆ


Image ไข่ทอดน้ำหน้ากระเพราไก่ >เมนูนี้ลูกครึ่งไทยอเมริกัน

เครื่องปรุง :-
ไข่ไก่ 2 ฟอง
ขนมปังปิ้ง 4 ชิ้น
น้ำต้มสุก 1/2 ลิตร
น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วยตวง
พริกขี้หนู รากผักชี กระเทียม พริกไทย โขลก 1 ช้อนโต๊ะพูน
เนื้อไก่ติดหนังบด 150 กรัม
น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา พอประมาณ
น้ำตาลปี๊บ พอประมาณ
ใบกระเพราสด 1/2 ถ้วยตวง
ใบกระเพราทอดกรอบ 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำกระเพราไก่ :-
1. นำพริกขี้หนู รากผักชี กระเทียม พริกไทย ที่โขลกหยาบ ๆ
ไว้แล้วลงไปผัดไฟอ่อน ๆ เร่งไฟขึ้นนำเนื้อ ไก่ลงไป ผัดต่อให้สุกใส่ใบกระเพราสดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน
2. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ พักไว้สำหรับราดหน้าไข่ทอดน้ำ

วิธีทำไข่ทอดน้ำ :-
1. ต้มน้ำผสมน้ำส้มสายชูให้เดือด
2. ตอกไข่สดลงไปในถ้วย แล้วค่อย ๆ เทลงไปในน้ำที่เดือดอยู่ ไข่ขาวจะรวมตัวเป็นลูกเอง
3. ลดไฟ และต้มต่อไปจนกระทั่งไข่ขาวเริ่มแข็งตัว
4. นำทัพพีที่มีรูตักไข่ขึ้นมา ซับน้ำให้แห้งด้วยกระดาษซับมันแล้วนำไข่ไปวางบนขนมปังที่ปิ้งและตัดขอบไว้แล้ว
5. ราดหน้าไข่ด้วยไก่ผัดใบกระเพรา
6. แต่งหน้าไข่ด้วยใบกระเพราทอดกรอบ เสริฟร้อน ๆ รับประทานเป็นอาหารเช้า

Image ไข่เจียวญี่ปุ่น > ทามาโกะยากิ ทำเองด้ายง่ายนิดเดียว

ไข่เจียวสไตล์ญี่ปุ่น หรือไข่ม้วน (Egg roll) ไข่เจียวจะออกหวาน
ดังนั้นจะทำให้ไข่ไหม้ง่ายมากๆ ควรระมัดระวังเรื่องความร้อนด้วยนะคะ
ส่วนผสม
-ไข่ 3 ฟอง
-น้ำตาล 1 ช้อนชา
-น้ำซุป 2 ช้อนโต๊ะ
-ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนชา
-น้ำมันพืช 2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ชาม
2. เติมน้ำตาล น้ำซุป ซอสถั่วเหลืองและตีให้เข้ากัน
3. เทน้ำมันใส่กระทะและรอให้ร้อน
4. ปรับความร้อนลงมาและเทไข่ลงไป 1/3 ของในชามลงไปในกระทะ
5. แผ่ไข่ให้ทั่วกระทะ
6. เมื่อไข่เกือบสุก ให้ม้วนไข่ไปทางด้านบนจนถึงขอบด้านบนของกระทะ (ชั้นที่ 1ในสุด)
7. เทส่วนผสมที่เหลือลงไปอีกครึ่งหนึ่ง และแผ่ให้ทั่วกระทะ
8. ขณะที่แผ่ไข่ให้ทั่วกระทะ ให้ตักไข่ม้วน(ชั้นที่1)มาไว้ด้านบนไข่ที่แผ่ไว้
9. เมื่อไข่ชั้นล่างเกือบสุก ให้ม้วนไข่ไปไว้ด้านบนของกระทะ (ชั้นที่ 2)
11.เทส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด และทำแบบเดิมอีกครั้ง
12. เมื่อทำชั้นที่ 3 แล้วและม้วนแล้ว หั่นพอดีคำ พร้อมเสิร์ฟ

Image ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น > อดไม่ได้ของโปรด ชาวามูชิ ไข่นุ่มๆเนียนๆ

1.ตอกไข่ใส่ชาม ตีแบบไข่เจียว
2.ใส่น้ำ(หรือจะใช้น้ำซุป) 3เท่าของปริมาณไข่
3.คนให้ไข่เข้ากะน้ำซุป
4.ปรุงรสด้วยซีอิ๊วหรือเกลือ(ถ้าใช้น้ำซุปทำให้ใช้เกลือปรุง ไม่งั้นซีอิ๊วจะทำลายกลิ่นน้ำซุป)
5.เอาส่วนผสมที่ได้มากรองฟองออก "จนฟองหมด"
6.เทใส่ชาม (อาจใส่เนื้อกุ้ง ปู แฮม ไปด้วยตามสะดวก) ตุ๋นไฟปานกลางจนกว่าจะสุก
(วิธีดูว่าสุกหรือไม่ ใช้ส้อมจิ้มไปตงกลางไข่ ถ้าไม่มีน้ำไข่ติดส้อมออกมาเปนอันใช้ได้ หรือ
ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดู ถ้าไม้จิ้มฟันเปลี่ยนสีเข้มคือยังไม่สุก)


Image ไข่เจียวผักโขมชีส > อิตาเลียนน..น

ส่วนผสม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
ซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ 2 ช้อนชา
เนื้อหมูสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ผักโขมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
มอสซาเรลลาชีส หั่นชิ้นเล็กๆ 1ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1.ตอกไข่ ใส่ภาชนะ ตามด้วยซอสหอยนางรมตราแม็กกี้ หมูสับ มอสซาเรลลาชีส และ ผักโขม ตีพอส่วนผสมเข้ากันดี
2.ใส่น้ำมันพืชลงกระทะพอร้อน นำส่วนผสมลงทอดไฟปานกลางพอสุกเหลืองทั้งสองด้าน

Image ไข่เจียวมันฝรั่ง > เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนผสม
มันฝรั่ง 500 กรัม
ไข่ไก่ 2 ฟอง
กระเทียมสับละเอียด 6 กลีบ
ผักชีสับละเอียด (ไม่ใช้ราก) 1 ช้อนโต๊ะ
เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. นำมันฝรั่ง มาปอกเปลือก ล้างน้ำ แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไป เมื่อร้อน นำมันฝรั่งลงไปทอดให้เหลือง แล้วตักขึ้น พักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน
3. ในกระทะเดียวกัน เทน้ำมันออก เหลือติดไว้เล็กน้อย แล้วนำผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ ใส่ลงไป คนให้สุกทั่วกัน
4. นำมันฝรั่งทอด ที่พักไว้ใส่ลงไปในกระทะ ตามด้วยใส่เนยสด ลงไปข้างๆ มันฝรั่งวนไปรอบๆ เพื่อให้เนยละลายเข้าไปในมันฝรั่งเสียก่อน จึงเทไข่ที่ตีจนขึ้นฟูไว้แล้วลงไปให้กลบมันฝรั่ง กะว่าพอเหลืองค่อยกลับพลิกอีกด้านให้เหลือง
5. ตักขึ้นใส่จาน เสิร์ฟกับซอสมะเขือเทศ รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

ห้องอาหารจีน ลก หว่า ฮิน บุฟเฟต์ติ่มซำ ชั้น 2 โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์เป็นศูนย์รวมของอาหารเลิศรสในสไตล์ต้นตำรับของอาหารจีนแบบ เซี่ยงไฮ้ เสฉวน กวางตุ้ง สิงคโปร์ และฮ่องกง ส่วนติ่มซำนั้น แม้จะมีหลายตำรับจากจีนแต่ละท้องถิ่น แต่ทั่วโลกนิยม “ติ่มซำกวางตุ้ง” เพราะมีความร่วมสมัยมากที่สุด

เดือนนี้ ... อยู่ในระหว่างการปรับเปลี่ยนเมนูติ่มซำพอดีเลยถือโอกาสแนะนำคุณก่อนใคร ด้วยบรรยากาศของร้านที่ตกแต่งสไตล์ตะวันออก เน้นสีโทนดำและทอง สร้างความอบอุ่นและหรูหราให้กับผู้มาเยี่ยมเยือนและทักทายอาหาร มีทั้งห้องรวมและห้องส่วนตัวให้คุณเลือก

ลิ้มรสความอร่อยกับเมนูติ่มซำให้เลือกทานเต็มอิ่มในมื้อกลางวันกว่า 30 รายการ และ ปรับบางรายการออกและเข้าใหม่อีก 16 รายการเพื่อสร้างความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซาก จำเจกับของเดิมๆ ในราคา 420 บาทแถมซุปเกี๊ยวหูฉลาม 1 ถ้วย

“ยอมลงทุนมากหน่อยได้กำไรน้อยหน่อย โดยใช้เฉพาะกุ้ง ต้องคัดเลือกเอง ถึงจะได้ของที่สดใหม่ ไว้คอยให้บริการลูกค้า” ประสิทธิ์ จริยโยธิน หัวหน้าเชฟอาหารจีน แห่งโรงแรมโนโวเทล มานั่งบอกเล่าถึงกว่าจะมาเป็นติ่มซำที่แสนอร่อย เขาชำนาญเรื่องอาหารจีนและสั่งสมประสบการณ์มานาน พิถีพิถันทุกขั้นตอนในการทำทำอาหารจีน และติ่มซำที่แสนอร่อย

“ประการแรก ผมให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบ เลือกของดีเพื่อให้ได้รสชาติและอาหารที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ อย่างซอสที่ใช้ในการปรุงติ่มซำ ผมเลือกใช้ซอสเป่าฮื้อในการปรุงรสติ่มซำ ให้มีความอร่อยกว่าที่อื่น ให้รสชาติที่แตกต่างกัน ให้กลิ่นหอมในการดึงรสชาติ”

ส่วนประกอบที่สำคัญของติ่มซำอยู่ที่กุ้ง ที่ห้องอาหารลก หว่า ฮินจะเลือกสั่งกุ้งแชบ้วย ราคากิโลละ 600 บาท ใช้เนื้อหมูเกรดเอ บางอย่างจะสั่งจากเมืองนอก อาทิ กุนเชียง - ผักคะน้าจะสั่งจากฮ่องกง เพราะเป็นกุนเชียงที่รสชาติกลมกล่อมกว่าที่เมืองไทย ติดมันนิดๆ

ส่วนผักคะน้าฮ่องกง จะไม่มีใยต่างจากคะน้าไทย ราคากิโลกรัมละ 250 บาท

“ของทะเลทุกประเภทจะใช้แต่ของเป็น ถ้าตัวไหนตายจะคัดออก ไม่นำมาทำอาหาร ไม่อยากให้ลูกค้าที่มากินรู้สึกไม่ดีกับกินอาหารที่รสชาติไม่ได้เรื่อง … ส่วนติ่มซำที่นี่ไม่ใส่ชูรส ไม่มีสารบอแร็กซ์ ไม่ใส่น้ำประสานทอง แต่มีเคล็ดลับที่จะทำให้รสชาติของติ่มซำอร่อย”

ห้องอาหารจีน ลก หว่า ฮิน โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ โทร. 0-2255-6888
บุฟเฟต์มื้อกลางวัน( เวลา 11.30-14.30 น). ท่านละ 420 บาท ++ แถมซุปเกี้ยวหูฉลาม 1 ถ้วย
Set Lunch ท่านละ 520 บาท ++ ติ่มซำไม่จำกัดจำนวน,ซุปเกี้ยวหูฉลาม 1 ถ้วย อาหารหลัก 1 จาน (ข้าวผัดหอยเชลล์เอ็กซ์โอ,ข้าวผัดหมูแดง,โกยซีหมี่,ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว) ของหวาน 1 อย่าง (บัวลอยน้ำขิง,พุดดิ้งมะม่วง,ผลไม้รวม)
มื้อค่ำ (18.30 – 22.30 น.) อาหารตามสั่ง ส่วนติ่มซำราคาเข่งละ 40 บาท

retro ติ่มซำ 16 รายการ
ฮะเก๋าตัวกุ้ง , ฮะเก๋ากระต่าย, ฮะเก๋าปลาทอง, เกี๊ยวหูฉลาม, นกหงส์เหิน,ฮะเก๋าคำโต,จีบหยก 3 สี,กระเพาะปลาสดน้ำแดง,เยื่อไผ่น้ำแดง,กุ้งมะนาว, บรอกโคลีน้ำมันหอย,เห็ดสองสี,ผักกาดแก้วน้ำมันหอย,เนื้อปลาสองสี,เบคอร์ นครีมสลัด,ขนมแครอท

ติ่มซำ ภาษาจีนกลางอ่านว่า “เตี่ยนซิน” แต่คนไทยคุ้นเคยและเรียกตามภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวกวางตุ้ง นิยมกินกับน้ำชาร้อนๆ สูตรดั้งเดิมนั้น กินกันแบบจืดๆ เพื่อให้ได้รสชาติของอาหารแท้ๆ แต่สำหรับคนไทยที่ชอบความจัดจ้านก็ก็เลยมีเครื่องปรุงรสให้จิ้มกันแบบหลาย ถ้วย ไม่มีผิด ไม่มีถูก เลือกได้ตามความชอบ

ช่วง เวลาติ่มซำของคนไทยจะเริ่มเมื่อ 11 โมงเช้าจนถึงบ่าย 2 โมง ชาวจีนกวางตุ้งและฮกเกี้ยน บางครัวเรือนนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า เนื่องจากเบา โปร่งและสบาย เหมือนอาหารว่าง และเป็นวัฒนธรรมชั้นสูงของคนกวางตุ้งในการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

รับประทานแบบถูกต้องตามหลัก ต้อง ค่อยๆสั่ง ค่อยๆคืบแล้วกิน จิบน้ำชาร้อนๆระหว่างสนทนาและไม่รีบร้อน เมื่อกินติ่มซำแล้วจะตามด้วยอาหารหลัก อาจจะเป็นปลาเต้าซี่ราดหน้า หมี่เกี๊ยวน้ำ ฯลฯ

วัฒนธรรมการละเลียดในมื้อบุฟเฟต์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร !? ในเมื่อมื้อนี้ต้อง “อิ่มเกินคุ้ม”

แนะนำว่า
บุฟเฟต์ติ่มซำมื้อนี้ ควรเลือกกินเมื่อมาร้อนๆ เริ่มด้วยของนึ่งก่อนเป็นลำดับแรก ตามด้วยของทอด เพราะถ้าคุณเริ่มด้วยของทอ ดจะเลี่ยนและกินได้ไม่ถึงยก 3 จิบกับน้ำชาหรือเก๊กฮวยร้อน (น้ำตาลน้อยๆ) ดีที่สุด

เตรียมตัวก่อนมื้อบุฟเฟต์
1. ควรงดอาหารอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมงเพื่อเตรียมห้องเสบียงสำหรับถมอาหารไม่จำกัดจำนวน
2. ถ้าเป็นบุฟเฟต์มื้อกลางวัน ควรงดอาหารเช้า , บุฟเฟต์มื้อค่ำควรงดมื้อหนักยามกลางวัน หรือมื้อปกติไม่ควรเป็นอาหารที่ย่อยยาก
3. สวมเสื้อผ้าที่เบา โปร่งและสบาย ไม่ควรเป็นประเภทเสื้อรัดรูป ตีเกร็ด รัดติ้ว หรือเสื้อยืดรัดรูป เพื่อเตรียมการขยายของกระเพาะและพุง จะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดน้อยเมื่ออาหารมื้อนี้ตกถึงท้อง

4. ควรตรงเวลาสำหรับอาหารบุฟเฟต์ ทางที่ดีควรสำรวจเวลาแน่ชัดของอาหารบุฟเฟต์ของโรงแรมนั้นๆไว้ ไม่งั้น ... ช้าเพียงก้าวหรือ 2 ก้าวจะกลายเป็นอาหารเหลือจากคนอื่นทันที และอาหารบางอย่าง โดยเฉพาะของดีและแพงนั้น มักจะไม่มีรอบที่ 2
5. นั่งในท่าหลังตรง ไม่ควรนั่งตามสบายและทิ้งตัวลงไปกองกับเก้าอี้ ทั้งนี้เพื่อให้การลำเลียงอาหารผ่านสะดวก ไม่ติดขัด เพราะนั่นหมายถึงการเพิ่มปริมาณอาหารมื้อใหญ่สำหรับมื้อนี้
6. รับประทานบุฟเฟต์ควรจะแบ่งออกเป็น 3 ยกหลัก

ยกแรก เบาแต่แพง เช่นกุ้ง ปลาแซลมอน ฯลฯ งดน้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เด็ดขาด น้ำเปล่าหรือน้ำชาดีที่สุด แต่ควรจะจิบเท่านั้น ไม่ใช่ดื่มน้ำมากอย่างกับอูฐในท้องทะเลทราย ไม่งั้นมื้อนี้ขาดทุน

อาหารหนักขึ้นมาหน่อย แต่เน้นข้าวหรือพวกอาหารเส้นให้น้อย เพราะอาหารประเภทนี้ล้วนแต่ตัดเส้นทางลำเลียงทั้งนั้น กินข้าวเหมือนแมวดม หรือจะนับเมล็ดกินก็ไม่มีใครว่า และบรรดาผักเพื่อคั่นไม่ให้ท้องอืดเกินไป
ยกสุดท้ายตบหนักๆเลย !! ท่องจำไว้ขึ้นใจ “กินให้คุ้ม”

ระหว่างยก 2 ควรจะลุกเดินบ้าง เช่นไปห้องน้ำ หรือเดินเตะถ่วงเวลาสักรอบหรือสองรอบ เพื่อช่วยลำไส้ในการย่อย หรือถ้าในมื้อ 3 เกิดอาการ “กินจนจุก” ต้องมียาช่วยย่อย หรือช่วยลดกรดในกระเพาะ อันนี้ต้องมีติดกระเป๋าไว้ ถ้าเห็นว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ลุยต่อทันที มื้อนี้ควรสนทนาให้น้อยที่สุด ไม่งั้นอิ่มก่อนไม่รู้ด้วย.

 

ราสป์เบอร์รี่

ราสป์เบอร์รี่เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีรสชาติหอมและอร่อยมากที่สุดใน ตระกูลเบอร์รี่แถมยังเป็นสัญลักษณ์ว่าฤดูร้อนกำลังจะมาถึงแล้ว ราสป์เบอร์รี่ถูกนำมาปลูกในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 แล้วมันมาจากที่ไหนล่ะ คำตอบก็คือ มาจากเอเชียตะวันออกนี่เอง

ผลราสป์เบอร์รี่ป่านั้นเก็บมาแล้วต้องบ่มแล้วแคะไส้ออก แต่ราสป์เบอร์รี่ที่ปลูกเองนั้นมีเนื้อที่กลวงกว่า ไส้จะถูกดึงหลุดติดก้านและกลีบเลี้ยงออกมาโดยง่าย


ลูกราสป์เบอร์รี่นั้นเป็นผลไม้สุดอร่อยที่ธรรมชาติประทานมาให้มนุษยชาติ มันมีบทบาทสำคัญมากสำหรับอาหารหลายเมนู เช่น เป็นส่วนประกอบของสลัดเป็ดและไก่รมควัน เพื่อทำให้เกิดสมดุลของรสหวานกับรสชาติอื่น ๆ ในสลัด ราสป์เบอร์รี่ซอสเป็นซอสที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับราดหน้าไอศกรีม ราดหน้าทาร์ตผลไม้ เป็นท๊อปปิ้ง(แต่ง) หน้าเค้ก ทำเป็นไส้พุดดิ้งฤดูร้อนใส่แต่งหน้าในเรดฟรุตสลัด หรือจะทำเป็นไส้แพนเค้กก็ได้แต่ที่ดีสุดคือกินราสป์เบอร์รี่สด ๆ ราดหน้าด้วยวิปครีมหรือมาสคาโปน แบบที่ออเดรย์ แฮปเบิร์น สั่งมากินในหนังเรื่องโรมรำลึกนั่นแหละ

การเลือกและการเก็บรักษา

ราสป์เบอร์รี่ลูกเล็ก ๆ ที่สดและหอมหวานนี้มีขายทั่วไป ที่เมืองนอกจะมีวางขายในร้านกรีนโกรเซอร์ ที่เมืองไทยนะมีขายในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ แต่ก็ราคาแพงมากจนพวกไฮโซเมืองไทยยังเคยเหมาทัวร์เพื่อไปเก็บราสป์เบอร์รี่ สด ๆ กินกันโดยเฉพาะเลย เพราะคิดว่าคุ้มกว่าซื้อกินที่นี่ ปกติแล้วที่เมืองนอกจะแพ็คขายเป็นกล่องเล็ก ๆ ซึ่งฝรั่งเองก็ยังรู้สึกว่าราคาแพง เลยพอใจที่จะขับรถไปที่ไร่เลือกซื้อแบบเก็บเองแล้วชั่งขายเหมามา ซึ่งดูจะเป็นทางเลือกที่ถูกกว่า แล้วยังสามารถขอแถมลูกเหล่น ๆ สุก ๆ มาทำแยมหรือเอามากวนเก็บไว้ทำไส้ขนมฤดูร้อนแบบต่าง ๆ ได้ด้วย


ผลราสป์เบอร์รี่สดนั้นควรจะกินหรือนำมาปรุงอาหารภายในวันที่ซื้อมา เวลาซื้อต้องเลือกดูที่ผลสวย ดูนุ่มนวล ไม่มีรอยเน่าเสีย ขึ้นราหรือแฉะ ถ้าซื้อแบบบรรจุกล่องมา ลองพลิกดูที่ก้นกล่องด้วยว่าลูกที่อยู่ใต้ ๆ นั้นแตกปริหรือเปล่า
ถ้าเราซื้อราสป์เบอร์รี่มาตอนที่มันยังสด ๆ อยู่ ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ใส่ที่ช่องผักจนกว่าจะเอามาใช้ มันก็จะอยู่ไปได้อีกนานหลายชั่วโมง หรืออีกหนึ่งคืนก็ยังได้ หรือถ้าอยากเก็บให้ได้นานก็ควรนำไปแช่แข็ง แต่เวลานำไปแช่ต้องเรียงผลให้ดี ๆ โดยวางเรียงเป็นชั้นเดียวในกล่องสำหรับแช่แข็ง เวลาจะใช้ก็เอามาวางละลายน้ำในอุณหภูมิปกติของห้อง

 

คุณค่าทางโภชนาการ

ราสป์เบอร์รี่สด 100 กรัม ให้พลังงาน 25 แคลอรี่ มีโปรตีน 1.4 กรัม มีไขมันนิดเดียวและมีแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตจากน้ำตาลผลไม้ธรรมชาติแค่ 7 กรัม
ราสป์เบอร์รี่มีวิตามินซีในปริมาณมาก วิตามินซีที่มีประโยชน์นี้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและสลายตัวได้ง่ายเวลาปรุงอาหาร ดังนั้นถ้าอยากได้รับวิตามินซีจากราสป์เบอร์รี่ให้มากที่สุดก็ควรจะกินสด ๆ
ใน ราสป์เบอร์รี่ยังมีวิตามินอีซื่งช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยในการสร้างโครงสร้างของเซลล์ และปัจจุบันพบว่าเป็นตัวออกซิแดนท์ที่ดีมากในการชะลอความแก่ (พวกไฮโซถึงได้ลงทุนซื้อทัวร์เพื่อไปเก็บกินลูกสด ๆ ที่ไร่ไง)
นอกจากนั้นในลูกราสป์เบอร์รี่ก็ยังพบว่ามีแร่ธาตุที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย คือ มีแคลเซียมและโพแทสเซียมอีกด้วย

ที่มา: คู่สร้างคู่สม ฉบับที่ 598

 

 

 

ซื้ออาหารเสริมราคาถูกสุด ๆ กับ iherb พร้อมรับโค้ดส่วนลดได้ที่นี่ คลิ๊กเลย

เดินป่าสัมผัสกับความเขียวขจีของวนอุทยานแห่งชาติ ผจญภัยกับการข้ามสะพานแขวน เยี่ยมชาวเขาเผ่าซาไกและดำน้ำชมปลานกแก้วที่เกาะเรดัง

มาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านไม่ใกล้ไม่ไกลเดินทางสะดวกปลอดภัย นั่งเครื่องบินแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ครั้งนี้ เราขอเชิญเพื่อนๆไปร่วมสำรวจเส้นทางวนอุทยานแห่งชาติตามัน ไนการ่า ซึ่งอยู่ในรัฐปาหัง ไปดำน้ำดูปะการังและปลาหลากสีสวยงามที่เกาะเรดังในรัฐตรังกานู เส้นทางนี้เหมาะกับผู้ที่รักธรรมชาติเพราะจะได้สัมผัสกับผืนป่ากว้างที่ เขียวขจีได้ชื่นชมกับสายน้ำและท้องทะเลที่มอบสิ่งอัศจรรย์ใต้น้ำให้เราได้ สัมผัส ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดสักที หลังจากที่ปอดต้องทำงานหนักกับการสู้กับมลพิษในเมืองมานาน

สนามบิน KLIA อยู่นอกเมืองกัวลาลัมเปอร์ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงถึงตัว เมือง คืนแรกคณะเดินทางพักที่โรงแรมในกัวลาลัมเปอร์ เก็บแรงไว้เดินทางในวันรุ่งขึ้น

Day 1 เส้นทางไปสู่วนอุทยานแห่งชาติตามัน ไนการ่า

คณะ เราออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปท่าเรือ Kuala Tembeling Jetty ระหว่างนั่งรถไปท่าเรือก็ได้ชมบ้านเรือนของชาวมาเลเซียไปด้วยที่น่าสนใจก็ คือบ้านเรือนของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว ไม่มีเหล็กดัดให้เห็นเกะกะลูกตาแสดงว่ากฎหมายของที่นี่ขลังเอาการจึงทำให้ ขโมยขยาดได้ รถราตามถนนไม่หนาแน่น แม้มาเลเซียจะเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์ใช้เองและน้ำมันก็ราคาถูกประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงท่าเรือระยะทางจากท่าเรือไป วนอุทยานแห่งชาติตามัน ไนการ่า ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ค่าเรือตกคนละ 50 ริงกิต หรือจะเดินทางด้วยรถยนต์ก็ได้ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่การนั่งเรือหางยาวก็ทำให้เราได้สัมผัสกับสายน้ำและวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ลมพัดเย็น ๆ ต้องผิวกาย อากาศไม่ร้อนชวนให้ง่วงหลับไปกับเรือ แต่ก็ไม่ลืมชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางไปด้วยน้ำในแม่น้ำก็ดูสะอาดสะอ้าน และไกด์ผู้นำทางก็บอกว่าทางการมาเลเซียไม่อนุญาตให้มีการสร้างบ้านเรือนตาม แม่น้ำลำคลองและปล่อยของเสียลงแม่น้ำ หรือหากเป็นแพร้านอาหารหรือร้านขายของก็ไม่มีห้องส้วมบนแพ เขาใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมดีจริง

คืนนี้หลังฝนซา ไกด์ชาวมาเลเซียพาคณะเราไปเดินป่าส่องสัตว์ต้องพกไฟฉายไปด้วยตอนแรกๆ ก็กลัวทากกัน แต่พอไปเดินจริง ๆ ก็แทบไม่เห็นทากเพ่นพ่านอย่างที่นึกกลัว ไกด์ชี้ให้ดูเห็ดเรืองแสง ต้องดับไฟฉายจึงจะเห็นชัดเจน เห็ดเรืองแสงจะขึ้นหลังฝนตก อากาศชื้นเท่านั้น ไกด์ส่องไฟฉายให้ดูตั๊กแตนป่านตัวผอมที่มีสีกลมกลืนกับใบไม้ไปที่ห้างส่อง สัตว์ก็ตื่นเต้นว่าอาจจะได้เห็นสัตว์ปรากฎโฉมออกมา ปรากฏว่าไม่เห็นแม้แต่เงา เพราะฝนตก

Day 2 ผจญภัยในวนอุทยานแห่งชาติตามัน ไนการ่า

เช้านี้ทุกคนพร้อมกับการเดินป่าประมาณ 3 ชั่วโมงไกด์ชี้ชวนให้ดูต้น Suliana ซึ่งเป็นเถาไม้เลื้อยอมน้ำที่คนสมัยก่อนและชาวเขาเผ่าซาไกนำมาดูดน้ำดับ กระหายยามอยู่ในป่า มีสมุนไพรและต้นไม้ที่น่าสนใจนานาชนิด ทางเดินค่อนข้างเฉอะแฉะเพราะเมื่อวานฝนตก บางคนบอกว่าเจอทากเกาะเข้าให้แล้ว เคล็ดลับในการจัดการกับทากก็คือ เอาเกลือโรยไปที่ตัวทากหรือใช้ยาสูบ ใครที่ชอบเดินป่าคงรู้เคล็ดลับนี้ดี โชคดีที่ป่านี้ไม่ค่อยมีทากชุกชุม ไกด์ชี้ชวนให้ดูต้นเฟิร์นสองสีคือใบเฟิร์นมีสีฟ้าและสีเขียวดูสวยงามแปลกตา ทีนี้ก็มาช่วงผจญภัยที่ Canopy Walkway สะพานแขวนสำหรับผู้ที่ชอบท้าความสูงมีความยาวประมาณ 300 เมตร และสูงจากพื้นดินประมาณ 35-45 เมตร ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด คนที่กลัวความสูงก็เดินได้ เพราะมองลงไปก็เห็นยอดต้นไม้ มีราวสองข้างไว้เกาะแน่นหนา ต้องเดินเรียงเดี่ยวและทิ้งระยะห่างคนละ 5-10 เมตร มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าอยู่ทุกจุดพัก หากใครไม่อยากเดินป่าก็สามารถเช่าเรือมาถึง Canopy Walkway ได้ โดยค่าเช่าเรืองลำละ 60 ริงกิต

ช่วงบ่ายไกด์พาไป Shooting ซึ่งก็คือ การนั่งเรือหางยาววิ่งเร็ว จึงควรเตรียมตัวเปียกได้ กล้องต้องใส่ถุงพลาสติกกันน้ำ บางช่วงก็มีน้ำกระฉอกเข้ามาในเรือจนตัวเปียกปอนระหว่างทางเราขึ้นเกาะแวะ เยี่ยมชาวเขาเผ่าซาไก มีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกมาดูชาวเขาสาธิตการจุดไฟด้วยวิธีธรรมชาติ

Day 3 ลาก่อนตามัน ไนการ่า

ขากลับ ออกจากวนอุทยานแห่งชาติตามัน ไนการ่า ใช้เวลานั่งเรือประมาณสองชั่วโมงกว่า เร็วกว่าขามาเพราะเรือแล่นตามน้ำ แล้วนั่งรถตู้ต่อเพื่อไปเกาะเรดัง ซึ่งอยู่ในรัฐตรังกานู ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ปรากฎว่าคณะเราเดินทางไปไม่ทันเรือเกยตื้นที่ชายฝั่งเพราะน้ำลดหลังหกโมง เย็น อาหารเย็นวันนี้คือร้านอาหารตามสั่งซึ่งอยู่ข้างทางดูพ่อครัวหัวป่าก์ทอดปลา น่าสนใจมาก เข้าใส่น้ำมันลงในกระทะก่อนตามด้วยใบตองใส่น้ำมันลงไปอีก พอร้อนก็ใส่ปลาลงไปแล้วปิดฝาให้ระอุ พลิกปลาอีกข้างพอสุกก็ราดซอสพริก หรือเราจะใช้น้ำพริกเผาก็ได้ ปิดฝาไว้สักพัก ที่นี้ปลาก็พองฟูหอมกรุ่นซอสเข้าเนื้อปลา

รุ่งเช้าเรือออกจาก ท่า 09.00น. ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะเรดัง วันนี้เราได้ไป Snorkeling กันสมใจ ค่าเช่าชุด Snorkeling 5 ริงกิต ไปถึงสะพานจะเห็นปลาบนพื้นผิวน้ำแหวกว่ายเป็นแพ ในท้องน้ำได้เห็นปลาหลากสีสวยงามมาก เช่น ปลานกแก้ว ปลาที่นี่ค่อนข้างเชื่องไม่กลัวคน หากถือขนมปังไม่ย่อมปล่อย ปลาจะแย่งกันมาตอดและอาจกัดมือเข้าให้ด้วย

มีสิ่งอัศจรรย์ ตอนกลางคืนให้ชมอีกอย่างก็คือ Blue Sand ทรายสีฟ้าที่ต้องใช้เท้ากระทืบบนผืนทรายก็จะปรากฎแสงสี่ฟ้าเรื่อเรืองออกมา ให้ยลเป็นขวัญตา

Day 4 ตรังกานู- กัวลาลัมเปอร์-  กรุงเทพฯ

เรือ ออกจากท่าเวลา 09.00 น. แล้วนั่งรถต่อไปตรังกานู พักรับประทานอาหารเที่ยงที่นี่ ตรังกานูเป็นรัฐที่ร่ำรวยน้ำมันแต่ห้างสรรพสินค้าไม่ใหญ่โตสมกับเมืองบ่อ น้ำมันเอาเสียเลย มีแหล่งช็อปปิ้งสองสามแห่งซึ่งแห่งหนึ่งสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดเป็น ทางการ อีกแห่งหนึ่งเป็นที่ขายสินค้าพื้นเมืองมีโรงงานผ้าบาติกที่นี่ด้วย

Fast Facts
- สนใจโปรแกรมท่องเที่ยวในประเทศมาเลเซียติดต่อสอบถามได้ที่ Malaysia Tourism Promotion Board ที่อยู่ Unit 1001, 10th Floor, Liberty Square, 287 Silom Road, Bangkok 10500 โทร. 0-2631-1994-6
- เวลาในประเทศมาเลเซียเร็วกว่าเมืองไทยหนึ่งชั่วโมง
- 1 ริงกิต = ประมาณ 10.50 บาท
- สายการบินมาเลเซีย บินจากกรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ สอบถามได้ที่ โทร. 0-2263-0520-33
- แท็กซี่ในกัวลาลัมเปอร์เริ่มที่ 2 ริงกิต หลังเที่ยงคืน ชาร์จ 30%

Where to stay
- Woodland Resort ที่ตามัน ไนการ่า สนใจคลิกไปที่ www.woodland.com.my
- Redang Holiday Beach Villa ที่เกาะเรดัง E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. This e-mail address is being protected from spam bots, you need JavaScript enabled to view it
- สนใจโรงแรมที่พักในกัวลาลัมเปอร์คลิกไปที่ www.hotelsthailand.com/hotel.cfm/malaysia/kuala-lumper-hotels.html

ช็อปอะไรที่ไหนดี

ช่วง เดือนกรกฎาคม – กันยายนเป็นช่วง Mega Sale ตามห้างสรรพสินค้าในกัวลาลัมเปอร์จะลดราคาสิค้าและสินค้าพื้นเมืองที่มีชื่อ ของที่นี่คือผ้าบาติ

ที่มา : Lisaweekly  5 กันยายน 2007

หลายคนคงเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างแล้วว่าจะมีกฎหมายใหม่เกี่ยวกับ “คำนำหน้านามของหญิง” ออกมาบังคับใช้ ซึ่งจะมีผลทำให้สาวที่แต่งงานแล้วสามารถเลือกใช้ "นาง" หรือ "นางสาว" ได้ตามความสมัครใจ พวกเป็นหม้ายก็จะกลับไปใช้คำนำหน้าชื่อ "นางสาว" ได้เหมือนเดิม

พระราชบัญญัติ คำนำหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งจะทำให้หญิงซึ่งแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสแล้ว สามารถที่จะเลือกใช้ "นาง" หรือ "นางสาว" ได้ตามความสมัครใจ และหญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว หากต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านามว่า "นาง" หรือ "นางสาว" ได้ตามความสมัครใจเช่นเดียวกัน โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เป็นทางการในวันที่ 4 มิถุนายน 2551

ส่วนเหตุผลในการประกาศใช้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ก็คือ การใช้คำนำหน้านามของหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้วต้องใช้คำนำหน้านามว่า "นาง'" คำเดียว โดยมิอาจเลือกได้ตามความสมัครใจนั้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อหญิงดังกล่าวในการดำรงชีวิตประจำวัน อาทิ การประกอบอาชีพ การศึกษาต่อ และการทำนิติกรรมต่าง ๆ ส่งผลให้การใช้คำนำหน้านามในลักษณะดังกล่าวของหญิงมีลักษณะเป็นการเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศ (เพราะชายไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย) สมควรกำหนดให้หญิงมีทางเลือกในการใช้คำนำหน้านามตามความสมัครใจ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับการเลือกใช้ นามสกุลตามกฎหมายว่าด้วยชื่อบุคคล เนื่องจากในเรื่องของการใช้นามสกุลนั้น ในมาตรา 12 พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.2505 ระบุว่า "คู่สมรสมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่ตกลงกัน หรือต่างฝ่ายต่างใช้ชื่อสกุลเดิมของตน การตกลงกันตามวรรคหนึ่ง จะกระทำเมื่อมีการสมรส หรือในระหว่างสมรสก็ได้ ข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง คู่สมรสจะตกลงเปลี่ยนแปลงภายหลังก็ได้"

จะเห็นได้ว่ากฎหมายในปัจจุบันเปิดช่องให้ “หญิง” มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกสาวๆ ทั้งหลายก็ควรนำสิ่งที่กฎหมายให้นี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม โดยรวมให้มากที่สุด เพื่อประเทศชาติของเราจะได้เจริญเทียบเท่านานาอารยประเทศ และต่อไปนี้ใครเคยแต่งงานจดทะเบียนมารึป่าว ก็ต้องสืบกันนิดหนึ่งนะ เมื่อก่อนฝ่ายสาว ๆ ต้องคอยสืบอยู่ข้างเดียว เดี๋ยวนี้ฝ่ายชาย ก็ต้องระวังสาว ๆ เหมือนกัน ที่เคยนึกคิดว่าสาวโสดทั้งแท่ง แต่ที่ไหนได้แต่งงานมาซะ 10 รอบ เท่าเทียมกันล่ะคราวนี้